1. วิปัสสนา
    1. พ้นโลก
    2. ๔ พระอรหันต์
      1. บรรลุเมื่อ
        1. ละสังโยชน์ได้ครบ 10 ประการ
          1. โอรัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องต่ำ 5
          2. สักกายทิฏฐิ ได้แก่ความเห็นผิดว่า กายใจเป็นของตนเอง และเห็นว่ามีตัวมีตน
          3. วิจิกิจฉา ได้แก่ความลังเลเคลือบแคลงสงสัย ในเรื่องการปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์
          4. สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำตามๆ กันไปอย่างงมงาย เห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียงด้วยศีลและวัตร หรือนำศีลและพรตไปใช้เพื่อเหตุผลอื่น ไม่ใช่เพื่อเป็นปัจจัยแก่การสิ้นกิเลส เช่นการถือศีลเพื่อเอาไว้ข่มไว้ด่าคนอื่น การถือศีลเพราะอยากได้ลาภสักการะเป็นต้น
          5. กามราคะ ได้แก่ความหลงอาลัยติดใจอยู่กับกามหรือกามคุณ ๕ คือ รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส
          6. ปฏิฆะ ได้แก่ความขุ่นเคืองหงุดหงิดภายใน ความขุ่นใจ อันก่อให้เกิดโทษะ คือ ความโกรธ และพยาบาทคิดร้ายต่อผู้อื่น
          7. อุทธัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องสูง 5
          8. รูปราคะ ได้แก่ ความรักความพอใจกับความสุขอันเกิดจากการที่ได้ รูปฌาน
          9. อรูปราคะ ได้แก่ ความรักความพอใจกับความสุขอันเกิดจากการที่ได้ อรูปฌาน
          10. มานะ ได้แก่ความรู้สึกถือตัวตนว่า ต่ำกว่าคนอื่น ดีกว่าคนอื่น หรือเสมอกับคนอื่น อันเป็นเหตุให้เกิด ความน้อยใจ ความทะนงใจ ความคิดที่จะแข่งดี
          11. อุทธัจจะ ได้แก่ ความฟุ่งซ่านไปกับสิ่งที่มากระทบ ตามอำนาจความยั่วยวนใจของมัน ทำให้เกิความอยากได้ (โลภะ) เมื่อไม่ได้ตามประสงค์ก็ทำให้หาอุบายที่จะให้ได้มาจนเป็นเหตุให้ผิดศีล และก่อให้เกิด ความสงสัย หวาดกลัว วิตกกังวล ระแวง ซึ่งในที่สุดก็ทำให้ต้องเป็นทุกข์
          12. อวิชชา ได้แก่ความไม่รู้หรือความปราศจากความรู้อันถูกต้อง คือความรู้ที่จะทำให้ดับทุกข์ได้แน่นอนเด็ดขาด
    3. ๓ พระอนาคามี
      1. บรรลุเมื่อ
        1. ละสังโยชน์เบื้องต่ำ(โอรัมภาคิยสังโยชน์ ) ทั้ง ๕ ประการ
          1. สักกายทิฏฐิ
          2. วิจิกิจฉา
          3. สีลัพพตปรามาส
          4. กามราคะ
          5. ปฏิฆะ
    4. ๒ พระสกทาคามี
      1. บรรลุเมื่อ
        1. ละสังโยชน์เบื้องต่ำ(โอรัมภาคิยสังโยชน์ ) ๓ ประการ
          1. สักกายทิฏฐิ
          2. วิจิกิจฉา
          3. สีลัพพตปรามาส
        2. ทำสังโยชน์เบื้องต่ำ(โอรัมภาคิยสังโยชน์ ) อีกสองประการที่เหลือให้เบาบางลง
          1. กามราคะ
          2. ปฏิฆะ
    5. ๑ พระโสดาบัน
      1. บรรลุเมื่อ
        1. ละสังโยชน์เบื้องต่ำ ๓ ประการ
          1. สักกายทิฏฐิ
          2. วิจิกิจฉา
          3. สีลัพพตปรามาส
      2. ประเภท
        1. เอกพิชี เกิดในภพมนุษย์อีกเพียงชาติเดียวแล้วบรรลุเป็นพระอรหันต์
        2. โกลังโกละ เกิดในมนุษย์โลกและเทวโลก อีก ๒-๓ ครั้ง แล้วบรรลุเป็นพระอรหันต์
        3. สัตตักขัตตุงปรมะ ท่องเที่ยวไปเกิดในมนุษย์โลกและเทวโลก อีกไม่เกิน ๗ ครั้ง แล้วบรรลุเป็นพระอรหันต์
  2. สมถะที่ได้ฌาน
    1. อรูปพรหม ๔ ชั้น
      1. ชั้นที่ ๒๐ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ
      2. ชั้นที่ ๑๙ อากิญจัญญายตนภูมิ
      3. ชั้นที่ ๑๘ วิญญาณัญจายตนภูมิ
      4. ชั้นที่ ๑๗ อากาสานัญจายตนภูมิ
    2. รูปพรหม ๑๖ ชั้น
      1. จตุตถฌานภูมิ ๗
        1. ชั้นที่ ๑๖ อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ ชั้นที่ ๑๕ สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ ชั้นที่ ๑๔ สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ ชั้นที่ ๑๓ อตัปปาสุทธาวาสภูมิ ชั้นที่ ๑๒ อวิหาสุทธาวาสภูมิ
        2. ชั้นที่ ๑๑ อสัญญีสัตตาภูมิ ชั้นที่ ๑๐ เวหัปผลาภูมิ
        3. ปัญจสุทธาวาส หรือ สุทธาวาสภูมิ (ภูมิของผู้เป็นอนาคามี) สุทธาวาสภูมินี้มีอยู่ 5 ชั้น ตั้งอยู่ท่ามกลางอากาศ และตั้งอยู่เป็นชั้นๆ ขึ้นไป
        4. ตั้งอยู่ ณ พื้นที่ระดับเดียวกัน แต่แยกสถานที่กันอยู่ และมีระยะห่างไกลกันมาก
      2. ตติยฌานภูมิ ๓ ตั้งอยู่ ณ พื้นที่ระดับเดียวกัน แต่แยกสถานที่เป็น 3 เขต
        1. ชั้นที่ ๙ สุภกิณหาภูมิ
        2. ชั้นที่ ๘ อัปปมาณสุภาภูมิ
        3. ชั้นที่ ๗ ปริตตสุภาภูมิ
      3. ทุติยฌานภูมิ ๓ ตั้งอยู่ ณ พื้นที่ระดับเดียวกัน แต่แยกสถานที่เป็น 3 เขต
        1. ชั้นที่ ๖ อาภัสราภูมิ
        2. ชั้นที่ ๕ อัปปมาณาภาภูมิ
        3. ชั้นที่ ๔ ปริตรตาภาภูมิ
      4. ปฐมฌานภูมิ ๓ ตั้งอยู่ ณ พื้นที่ระดับเดียวกัน แต่แยกสถานที่เป็น 3 เขต
        1. ชั้นที่ ๓ มหาพรหมาภูมิ
        2. ชั้นที่ ๒ พรหมปุโรหิตาภูมิ
        3. ชั้นที่ ๑ พรหมปาริสัชชาภูมิ
  3. ทาน, ศีล, ภาวนา
    1. สวรรค์ ๖ ชั้น
      1. ๖ ปรนิมิตวสวัตติภูมิ เป็นสวรรค์ชั้นที่ 6 อยู่สูงจากสวรรค์ชั้นนิมมานรดี 672,000 โยชน์ มี พระยาปรนิมมิตวสวัตตี ปกครองผู้เป็นเทวดา และมี พระยามาร ปกครองเหล่ามาร เจ้าทั้งสองจะไม่เคยพบเจอกันเลย แม้จะอย่สวรรค์ชั้นเดียวกัน
      2. ๕ นิมมานรดีภูมิ เป็นสวรรค์ชั้นที่ 5 อยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดุสิต 336,000 โยชน์
      3. ๔ ดุสิตาภูมิ เป็นสวรรค์ชั้นที่ 4 อยู่สูงจากสวรรค์ชั้นยามา 168,000 โยชน์ มี พระยาสันดุสิตเทวราช พระโพธิสัตว์ซึ่งจะเสด็จลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า มี พระศรีอาริย์โพธิสัตว์ ซึ่งจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในภายภาคหน้า
      4. ๓ ยามาภูมิ เป็นสวรรค์ชั้นที่ 3 อยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ 84,000 โยชน์ มี พระยาสยามเทวราช ครองอยู่ สวรรค์ชั้นนี้สูงกว่าวิถีการโคจรของพระอาทิตย์ แต่ก็ไม่มืดเนื่องจากรัศมีแก้วและรัศมีตัวเทวดาส่องสว่างอยู่เสมอ
      5. ๒ ดาวดึงส์ เป็นสวรรค์ชั้นที่ 2 มีเทวดาผู้เป็นใหญ่ในชั้นนี้คือ ท้าวสักกะเทวราช หรือที่เรียกกันว่า "พระอินทร์"
      6. ๑ จาตุมหาราชิกาภูมิ สวรรค์ชั้นแรก สูงจากพื้นโลกได้ 46,000 โยชน์ เป็นดินแดนของผู้มีจิตใจสูงส่ง แต่ยังเกี่ยวข้องในกามคุณแปลว่าแดนแห่ง 4 มหาราช ครองเมืองใหญ่ 4 เมือง
        1. ท้าวธตรฐ เป็นเจ้าเมืองทางทิศตะวันออกของเขาพระสุเมรุ เป็นใหญ่เหนือคนธรรพ์ ท้าววิรูปักษ์ เป็นเจ้าเมืองทางทิศตะวันตกของเขาพระสุเมรุ เป็นใหญ่เหนือนาค ท้าววิรุฬหก เป็นเจ้าเมืองทางทิศใต้ของเขาพระสุเมรุ เป็นใหญ่เหนือพวกกุมภัณฑ์ ท้าวไพศรพ เป็นเจ้าเมืองทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุ เป็นใหญ่เหนือพวกยักษ์
        2. ท้าวมหาราชทั้ง 4 นี้เรียกรวมๆว่า จตุโลกบาล คือผู้ดูแลรักษาโลกทั้ง 4 ทิศ
    2. มนุษย์ ๑ คนที่รู้จักบาปและบุญ รู้กลัวรู้ละอายแก่บาป รู้รักพี่รักน้อง รู้กรุณาคนยากจนเข็ญใจ และรู้จักยำเกรงพ่อแม่ผู้เฒ่าผู้แก่ครูอาจารย์ และรู้จักคุณแก้ว 3 ประการ คือ พระรัตนตรัย
  4. ทำบาป
    1. อบายภูมิ ๔
      1. เดรัจฉานติภูมิ
      2. เปรตวิสัยภูมิ
      3. อสุรกายภูมิ
      4. มหานรก ๘ ขุม
        1. ๑ สัญชีวะ
        2. ๒ กาฬสุตตะ
        3. ๓ สังฆาฏะ
        4. ๔ โรรุวะ
        5. ๕ มหาโรรุวะ
        6. ๖ ตาปนะ
        7. ๗ มหาตาปนะ
        8. ๘ อเวจี