1. เคส (Case)
    1. เคส เป็นโครงที่ใช้สำหรับใส่อุปกรณ์ภายในต่างๆเข้าไว้ด้วยกัน อุปกรณ์ที่มักจะใส่ไว้ในเคสก็เป็นพวก เมนบอร์ด(Mainboard) แรม(RAM) การ์ดจอ(VGA Card) ฮาร์ดดิสก์(Hard Disk Drive) พาวเวอซัพพลาย(Power Supply) เป็นต้น มีหลายแบบ หลายสีให้เลือกใช้ตามความพึงพอใจของผู้ใช้ เราสามารถแยกประเภทของ case ได้ดังนี้
    2. เราสามารถแยกประเภทของ case ได้ดังนี้ 1.แบบ Desktop Computer สำหรับคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะแบบแนวนอน มี 2 แบบคือ Mini และ Slim 2.แบบ Tower Computer เป็นเคสที่ปัจจุบันได้รับความนิยมมากที่สุด ใช้สำหรับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ มีลักษณะเป็นเคสแนวตั้ง มีรูปร่างและสีสันสวยงาม 3.แบบ Portable Computer เป็นเคสสำหรับคอมพิวเตอร์แบบพกพา สามารถหิ้วไปไหนมาไหนได้อย่างง่ายดาย แบ่งเป็น 4 ประเภทคือ Labtop , Notebook ,Sub – Notebook , Palmtop หรือ Pocket PC
    3. การเลือกใช้เคสนั้น จะเลือกตามลักษณะการใช้งานเป็นหลัก ส่วนใหญ่จะนิยมใช้แบบ Tower สำหรับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะตามบ้าน เนื่องจาก หากใช้แบบ Desktop ที่วางแนวนอนแล้ว หากต้องการจะเปลี่ยนอุปกรณ์อะไรจะต้องยกจอออกมาก่อน เพราะเคสชนิดนี้มักจะวางจอไว้ข้างบนเคสอีกชั้น เพื่อประหยัดเนื้อที่วาง เคสที่ใหญ่ก็จะสามารถใส่อุปกรณ์จำพวกฮาร์ดดิสก์เพิ่มได้มากขึ้น ด้านหน้าเคสจะมีปุ่ม ให้ใช้งานเพียงไม่กี่ปุ่ม โดยทั่วไปจะมีเพียงแค่ ปุ่มเปิด/ปิดเครื่อง และปุ่มรีเซ็ตเท่านั้น ปุ่มเปิด/ปิดเครื่องนั้น จะมีขนาดใหญ่ที่สุดเพื่อให้เห็นได้ง่าย นอกจากนั้น จะมีหลอดไฟแสดงสถานะการทำงานติดอยู่ด้วย ซึ่งปุ่มเปิด/ปิด ปุ่มรีเซ็ต และหลอดไฟแสดงสถานะนั้น จะต่ออยู่กับเมนบอร์ดอีกทีหนึ่ง
  2. พาวเวอร์ซัพพลาย (Power Supply)
    1. พาวเวอร์ซัพพลายทำหน้าที่จ่ายกระแสไฟให้กับอุปกรณ์ต่างๆในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยสามารถเลือกใช้งานได้ตามจำนวนวัตต์ ถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์มีอุปกรณ์ต่อเยอะก็ควรจะเลือกใช้ ที่วัตต์สูงๆ ไม่เช่นนั้นกำลังไฟอาจจะไม่พอทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ โดยจะทำการแปลงกระแสไฟฟ้า จาก 220 โวลต์ เป็น 3.3 โวลต์ , 5 โวลต์ และ 12 โวลต์ แล้วแต่ว่าอุปกรณ์ชนิดใดต้องการกระแสไฟฟ้าเท่าใด โดยจะแบ่งได้เป็นสองแบบคือ AT และ ATX
    2. 1) AT เป็นแหล่งจ่ายไฟที่ใช้ในคอมพิวเตอร์เมื่อก่อนโดยปุ่มเปิด-ปิด นั้นจะต่อตรงกับแหล่งจ่ายไฟ ทำให้เวลาปิดเครื่องนั้น กระแสไฟจะถูกตัดไปในทันทีทำให้อุปกรณ์บางตัวที่ต้องการกระแสไฟเลี้ยงสักครู่หนึ่งก่อนจะปิดได้นั้นเกิดความเสียหาย
    3. 2) ATX เป็นแหล่งจ่ายไฟที่พัฒนามาจากแบบแรกโดยจะต่อปุ่มเปิด-ปิด เข้ากับเมนบอร์ด และทำการเปิด-ปิด ผ่านเมนบอร์ดทำให้ยังมีกระแสไฟเลี้ยงอุปกรณ์ก่อนจะทำการปิด ทำให้ให้อุปกรณ์มีความเสียหายน้อยลง ซึ่งจะมีรุ่นต่างๆดังนี้ – ATX 2.01 แบบ PS/2 ใช้สำหรับคอมพิวเตอร์ทั่วไป ที่มีตัวถังแบบ ATX โดยจะสามารถใช้ได้กับเมนบอร์ดแบบ ATX และ Micro ATX – ATX 2.03 แบบ PS/2 ใช้สำหรับคอมพิวเตอร์เซิฟเวอร์ (Server) หรือเวิร์คสเตชั่น (Workstation) ที่มีตัวถังแบบ ATX โดยจะมีสายไฟเพิ่มขึ้นมาอีกเส้นหนึ่ง เรียกว่า AUX connector – ATX 2.01 แบบ PS/3 ใช้สำหรับคอมพิวเตอร์ที่มีตัวถังแบบ Micro ATX และเมนบอร์ดแบบ Micro ATX เท่านั้น
  3. เมาส์ (Mouse)
    1. เมาส์ เป็นอุปกรณ์สำหรับควบคุมตัวชี้(Pointer) บนจอคอมพิวเตอร์ นับเป็นอุปกรณ์สำคัญ อีกชิ้นหนึ่งสำหรับคอมพิวเตอร์ในยุดปัจจุบัน โดยการทำงานของเมาส์นั้นภายในจะมีอุปกรณ์ สำหรับตรวจจับการเคลื่อนไหวของลูกกลิ้งยาง หรือเมาส์รุ่นใหม่ที่เป็นแบบออพตีคอล(Optical) นั้นจะใช้เป็นแสงจากแอลอีดี(LED) และจับการเคลื่อนไหวโดยการวัดการเปลี่ยนแปลงของแสงที่สะท้อนกลับมา จากนั้นเมาส์จะส่งสัญญานไปยังตัวชี้บนจอคอมพิวเตอร์เพื่อให้ตัวชี้ขยับตามการเคลื่อนไหวของเมาส์
  4. แป้นพิมพ์(Keyboard)
    1. แป้นพิพม์ ทำหน้าที่รับข้อมูลจากผู้ใช้ โดยจะประกอปไปด้วยแป้นพิมพ์ที่มีปุ่มต่างๆมากมาย ทั้งปุ่มตัวอักษร(Typewriter keys) ตัวเลข(Numeric keypad) ปุ่มพิเศษ (Special-purpose keys) ปุ่มควบคุมอื่นๆ(Control keys) หรือปุ่มฟังก์ชั่นต่างๆ(Function keys) สำหรับการใช้งานคอมพิวเตอร์ที่ต้อง ใช้การพิมพ์เป็นหลัก แป้นพิมพ์ถือเป็นอุปกรณ์หลักในการติดต่อระหว่างผู้ใช้และคอมพิวเตอร์เลยทีเดียว ในยุคแรกนั้นจะใช้ในการพิมพ์ชุดคำสั่งเพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงาน รวมถึงเป็นตัวป้อนข้อมูลต่างๆ จากผู้ใช้ไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์อีกด้วย
      1. no meat
    2. – Chorded ในขณะที่แป้นพิมพ์โดยทั่วไปมีการทำงานหนึ่งครั้งต่อหนึ่งปุ่ม แต่ Chorded Keyboard มีการแยกตามวิธีการกดปุ่มต่างๆร่วมกัน ทำให้สามารถพิมพ์ตัวอักษรได้โดยใช้ปุ่มที่มีจำนวนน้อยลง ถ้าใช้งานได้ดีก็สามารถพิมพ์ได้เร็วกว่าการใช้แป้นพิมพ์ปกติทั่วไปเสียอีก ซึ่งการใช้ปุ่มที่น้อยลงทำให้ เหมาะสำหรับการนำมาใช้บนอุปกรณ์ที่เล็ก เช่นบนโทรศัพท์ หรืออุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้มือเดียวในการป้อนข้อมูล แป้นพิมพ์ชนิดนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเนื่องจากต้องใช้ความชำนาญในการใช้สูง
    3. – Software เป็นแป้นพิมพ์ที่ใช้อยู่ในรูปแบบของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยจะแสดงภาพแป้นพิมพ์บนหน้าจอ จากนั้นจึงจะใช้อุปกร์ป้อนข้อมูลอื่นๆ เช่นเม้าส์ในการกดแต่ละปุ่มเพื่อใช้งาน หรือไม่ก้สามารถใช้จอแบบทัชสกรีน เพื่อให้ผู้ใช้กดปุ่มได้โดยตรงบนหน้าจอ แป้นพิมพ์แบบนี้เป็นที่นิยมมากในอุปกรณ์จำพวก โทรศัพท์มือถือ แท็ปเล็ต ที่มีการใช้งานเป็นจอทัชสกรีน
    4. -แบบพับ เป็นแป้นพิมพ์ที่ใช้อุปกรณ์ที่ยืดหยุ่นทำขึ้นมา เพื่อให้สามารถม้วน หรือพับได้ในเวลาที่ไม่ได้ใช้งาน แป้นพิมพ์แบบนี้สามารถวางไว้บนพื้นผิวที่ไม่เรียบได้ และยังทนทานต่อการเปียกมากกว่าแป้นพิมพ์แบบมาตรฐานอีกด้วย ในบางรุ่นสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์จำพวกสมาร์ทโฟนได้อีกด้วย บางรุ่นสามารถใช้งานในน้ำได้ เป็นที่นิยมในห้องปฏิบัติการหรือโรงพยาบาลที่จำเป็นจะต้องมีการฆ่าเชื้ออยู่ตลอดเวลา
    5. – Optical keyboard technology แป้นพิมพ์แบบเลเซอร์ แป้นพิมพ์ชนิดนี้จะเป็นอุปกรณ์ ที่ฉายแสงลงบนพื้นผิวที่เรียบเป็นรูปแป้นพิมพ์ ดดยเราสามารถกดลงบนพื้นที่แสงนั้นฉายลง ไปเพื่อกดปุ่มแป้นพิมพ์เช่นเดียวกับการกดปุ่มแป้นพิมพ์ในแป้นพิมพ์มาตรฐาน โดนจะมีเซ็นเซอร์ที่ไวต่อแสงอยู่ เมื่อเรากดลงบนจุดที่กำหนด อุปกรณ์ตัวนั้นก็จะอ่านค่าว่าเรากดตรงไหน ก็จะทำให้เราสามารถใช้งานได้เหมือนแป้นพิมพ์มาตรฐานทั่วไปได้เลย อุปกรณ์ชนิดนี้นิยมใช้กับพวก แท็ปเล็ต หรือ สมาร์ทโฟน เพราะพกพาง่าย และมีขนาดเล็ก
  5. จอภาพ (Monitor)
    1. จอภาพ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ติดต่อกับผู้ใช้โดยตรง นับเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญมากที่สุด อันหนึ่งของเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยจะแสดงผลออกมาเป็นภาพทางหน้าจอ โดยการแปลงจากสัญญานอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งเข้ามา โดยวิธีการนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของจอภาพ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นจอภาพแบบหลอดรังสีแคโธด หรือจอซีอาร์ที (cathode ray tube: CRT) และจอภาพแบบผลึกเหลวทรานซิสเตอร์แผ่นบาง หรือจอแบบ แอลซีดี
    2. 1) จอแบบ CRT (Cathode Ray Tube) จอภาพชนิดนี้จะมีขนาดใหญ่คล้ายโทรทัศน์ มีการสร้างภาพโดยใช้การยิงลำแสงอิเล็กตรอนไปที่ผิวหน้าจอ ซึ่งจะยิงเป็นจุดๆเรียงแถวไปจนเต็มทั้งหน้าจอ โดยเมื่อลำแสงอิเล็กตรอนกระทบกับผิวหน้าจอแล้ว ที่ผิวหน้าจอจะมีสารเคลือบอยู่เป็นสารจำพวกสารประกอปของฟอสฟอรัส จะเกิดการเรืองแสงขึ้นมา โดยจะมีแสงทั้งหมดสามมีซึ่งเป็นแม่สี คือ สีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน โดยเมื่อแต่ละจุดมารวมกันก็จะเกิดภาพขึ้นบนหน้าจอ
    3. 2) จอ LCD (Liquid Crystal Display) จะมีลักษณะแบนราบ มีขนาดบางและน้ำหนักเบาเมื่อเทียบกับจอแบบ CRT การทำงานของจอภาพชนิดนี้นั้นจะใช้การเปลี่ยนและบังคับให้ผลึกเหลวแสดงสีต่างๆ ออกมาตามที่ต้องการโดยอาศัยหลักการของการใช้ความร้อนที่ได้จากขดลวด ซึ่งทำให้จอแบบ LCD นั้นมีขนาดบางกว่าและเบากว่าจอแบบ CRT เป็นอย่างมาก แถมยังใช้ไฟน้อยกว่า จึงนิยมเอามาใช้กับคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่จำพวกnotebook tablet เป็นอย่างมาก แต่ปัจจุบันคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ ก็นิยมใช้จอแบบ LCD กันเป็นส่วนใหญ่เนื่องจากให้ภาพที่คมชัดกว่าจอแบบเดิม