1. ความหมาย
  2. ประโยชน์ของ "ปรัชญา"
  3. ลักษณะสำคัญของ "ปรัชญา"
  4. หน้าที่ของ "ปรัชญา"
  5. 1. "ปรัชญา" มาจากภาษากรีกว่า "Philosophy" ตามรากศัพท์คำว่า "Philosophy" มาจากคำว่า "Philosophia" (เป็นคำภาษากรีกโบราณ) ซึ่งมาจากคำ "Philia" (แปลว่า "ผู้รัก") และ "Sopia" (แปลว่า"ความปราดเปรื่อง") ดัง นั้น คำว่า "Philosophia" (Philosophy) จึงแปลว่า "ความรักในปรีชาญาณ" สรุปแล้วคำว่า "Philosophy" ตามความหมายของภาษา คือ ความรักความปราดเปรื่อง ความปรารถนาจะเป็นปราชญ์ นั่นคือ การรู้ว่าตัวเองไม่ฉลาด แต่อยากฉลาด
  6. 2. ความหมายของคำ "ปรัชญา" (ภาษาไทย) คำ ว่า "ปรัชญา" มีที่มาจาก พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ (พระองค์วรรณ) อดีตราชบัณฑิต สาขาวิชาปรัชญา เป็นผู้แปลศัพท์คำว่า Philosophy เป็นคำว่า "ปรัชญา" โดยใช้รากศัพท์จากภาษาสันสกฤตว่า "ชฺญา" (รู้/เข้าใจ) เติมอุปสรรค ปฺร เป็น ปฺรชฺญา รวมแปลว่า "ความปราดเปรื่องหรือความรอบรู้" ดังนั้น คำว่า "ปรัชญา" (ภาษาไทย) จึงแปลว่า "ความรอบรู้ปราดเปรื่อง" ซึ่งเป็นความหมายในเชิงอวดตัว (ไม่เหมือนคำ Philosophy ซึ่งแสดงถึงความถ่อมตน) ความหมายของคำ "ปรัชญา" จึงไม่ตรงกับภาษาอังกฤษ/กรีก (Philosophy/Philosopia) มากนัก
  7. โดยทั่วไปปรัชญาจะมีลักษณะ 3 ประการ คือ 1. มีลักษณะวิพากษ์ คือ มีการถาม โต้เถียง วิจารณ์ ว่าสิ่งนั้นใช่หรือไม่ใช่ ดีหรือไม่ดี 2. ปัญหาปรัชญาเป็นปัญหาพื้นฐาน คือ ปัญหาที่เมื่อหาคำตอบแล้ว จะส่งผลไปสู่การดำเนินชีวิต หรือปัญหาอื่น ๆ ต่อไป 3. แสวงหาโลกทัศน์ คือ การมองโลกที่แตกต่าง แล้วมีจุดยืนเป็นของตนเอง ดังนั้น เรียนปรัชญาแล้วจะไม่เป็นทุกข์ เมื่อสิ่งใดๆไม่เป็นอย่างที่คิด ก็คิดว่าเพราะมันเป็นอย่างนั้นของมัน แล้วเราจะมีจิตประภัสสร (จิตผ่องใส)
  8. 1. ทางด้านเนื้อหาของวิชาปรัชญา เนื้อหาของวิชาปรัชญาไม่ว่าจะเป็นการสอนในเชิงประวัติศาสตร์ปรัชญาหรือประเด็นปัญหาทางปรัชญา นอกจากการเรียนการสอนในเชิงประวัติศาสตร์เป็นการเรียนการสอนที่สร้างความรอบรู้ให้กับผู้เรียนแล้ว ยังเป็นการเรียนการสอนที่ทำให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงชีวิตและแนวคิดของนักปรัชญากับสภาวะทางสังคมในแต่ละยุคสมัย หรือใช้เทียบเคียงกับสังคมในยุคปัจจุบันได้ และนำไปสู่ความเข้าใจถึงความเป็นมาของสังคมและสิ่งที่อยู่รอบตัวช่วยเสริมสร้างโลกทัศน์ให้กับผู้เรียน
    1. 1) ทางด้านเนื้อหาของวิชาปรัชญา เนื้อหาของวิชาปรัชญาไม่ว่าจะเป็นการสอนในเชิงประวัติศาสตร์ปรัชญาหรือประเด็นปัญหาทางปรัชญา นอกจากการเรียนการสอนในเชิงประวัติศาสตร์เป็นการเรียนการสอนที่สร้างความรอบรู้ให้กับผู้เรียนแล้ว ยังเป็นการเรียนการสอนที่ทำให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงชีวิตและแนวคิดของนักปรัชญากับสภาวะทางสังคมในแต่ละยุคสมัย หรือใช้เทียบเคียงกับสังคมในยุคปัจจุบันได้ และนำไปสู่ความเข้าใจถึงความเป็นมาของสังคมและสิ่งที่อยู่รอบตัวช่วยเสริมสร้างโลกทัศน์ให้กับผู้เรียน
  9. 2.การเรียนวิชาปรัชญาเป็นการเรียนรู้ถึงวิธีการใช้เหตุผลแบบปรัชญาหรือตรรกวิทยาที่กล่าวถึงเรื่องการใช้เหตุผลโดยตรง ถึงแม้อาจจะไม่ได้เป็นการเรียนที่เฉพาะเจาะจงถึงหลักและวิธีการทางตรรกวิทยาอย่างเป็นระบบระเบียบชัดเจน ก็อาจมีความหมายถึงการเรียนรู้วิธีการที่มาพร้อมๆ กับวัฒนธรรมของวิชาปรัชญาและนักปรัชญา เช่น นิสัยของการเป็นนักสงสัยหรือนักตั้งคำถามตัวยง การเป็นผู้ที่รักในการแสวงหาความจริง การเป็นผู้มีใจกว้างยอมรับฟังความคิดเห็นที่มีเหตุผลของผู้อื่น หรือการเป็นผู้ที่มีอิสระทางความคิด การเป็นคนช่างคิดช่างวิเคราะห์ เป็นต้น เนื้อหาและวิธีการเรียนการสอนวิชาปรัชญาจะทำให้ผู้เรียนค่อยๆ ซึมซับลักษณะนิสัยนี้ทีละเล็กละน้อยผ่านการกระตุ้นชักชวนและท้าทายของผู้สอน และหากเป็นการเรียนในกลุ่มที่ไม่ใหญ่มากนักก็สามารถเปิดโอกาสให้ผู้เรียนอภิปรายแสดงความคิดเห็นได้มากยิ่งขึ้นด้วย
  10. หน้าที่ของ “ปรัชญา” ความเข้าใจว่า “มนุษย์คืออะไร” “คุณค่าและความหมายชีวิตคืออะไร” เป็นพื้นฐานสำคัญต่อการกำหนด วิถีชีวิตและการพัฒนาตนของมนุษย์ ปรัชญาในฐานะศาสตร์ที่พยายามใช้เหตุผลเพื่อตอบปัญหาเกี่ยวกับความจริง โดยแยกเป็นสามประเด็นคือ อะไรคือความเป็นจริง (Metaphysics/Ontology) เรารู้ความจริงได้อย่างไร (Epistemology) และอะไรเป็นคุณค่าแท้จริง (Axiology) คำตอบที่ว่า “มนุษย์คืออะไร” ในด้านคุณค่าและความหมายของชีวิต จึงถือเป็นหน้าที่โดยตรงของปรัชญา คำตอบที่ปรัชญาให้ มีหลายแนวความคิด ขึ้นกับว่านักปรัชญาท่านนั้น ๆ จะมองหรือเน้นในส่วนไหน “ถ้าพิจารณาในแง่ประวัติศาสตร์ พบว่าปรัชญามีวิวัฒนาการ ๆ ของปรัชญาเป็นเหตุให้เกิดปรัชญามากมายหลายสาขาหลากแนวคิด” (สมัคร, 2544: 15) อาทิเช่น เอกนิยม ทวินิยม พหุนิยม สสารนิยม จิตนิยม ประจักษนิยม เหตุผลนิยม จักรกลนิยม ปฏิบัตินิยม อัตถิภาวนิยม บุคคลนิยม ฯลฯ แล้วแต่ว่าจะเน้นนำเสนอความจริงในด้านไหน เป็นการเน้นอธิบายปริมาณความจริง สภาพ/ธรรมชาติของความจริง การรับรู้ความจริง หรือเน้นเรื่องการนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตมนุษย์หรือการอธิบายสิ่งต่าง ๆ เป็นต้น โดยผ่านทางการอธิบายความคิดของนักปรัชญาตามยุคสมัยต่างๆ จวบจนปัจจุบัน
  11. สาขาของ "ปรัชญา"
  12. ในสมัยปัจจุบัน ปรัชญาตะวันตกแบ่งออกเป็นสาขาใหญ่ ๆ ๕ สาขาด้วยกัน คือ ๑. อภิปรัชญา(Metaphysics) ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวข้องกับปัญหาทั่วๆ ไปในเรื่องสัจธรรม มนุษย์ โลก และพระเจ้า อภิปรัชญานั้นศึกษา ๓ ด้าน ดังนี้ (๑) อภิปรัชญาว่าด้วยธรรมชาติ เป็นการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสสาร กาล อวกาศ ชีวิต วิวัฒนาการ ระบบจักรกลของเอกภพ และความเป็นเหตุเป็นผล (๒) อภิปรัชญาว่าด้วยจิตวิญญาณ เป็นการสืบค้นถึงกำเนิด วิญญาณ จุดหมายปลายทาง และความสัมพันธ์ระหว่างกายกับจิตวิญญาณ (๓) อภิปรัชญาว่าด้วยพระเจ้า ศึกษาถึงธรรมชาติ และคุณลักษณะของพระเจ้า ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับวิญญาณทั้งปวง นอกจากนั้น อภิปรัชญายังถูกเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ภววิทยา"(Ontology) ทฤษฎีว่าด้วยความมีอยู่ พยายามสืบค้นหาความมีอยู่จริงของสรรพสิ่ง ความมีอยู่จริงของโลก ความมีอยู่จริงของวิญญาณ และความมีอยู่จริงของพระผู้เป็นเจ้าที่สมบูรณ์
  13. ๒. ญาณวิทยา (Epistemology) หรือศาสตร์ว่าด้วยความรู้ ศึกษาค้นคว้าถึงธรรมชาติแห่งความรู้ของมนุษย์ ความรู้ของมนุษย์เกิดขึ้นมาได้อย่างไร และความรู้นี้จะสามารถเข้าถึงสัจธรรมหรือไม่เพียงไร มนุษย์สามารถรู้โลก จักรวาล และพระเจ้าได้หรือไม่ ถ้ารู้ได้จะแน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นความรู้จริง ความรู้เช่นไรจึงเป็นความรู้จริง สิ่งที่ตามองเห็นเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นความจริง
  14. ๓. ตรรกศาสตร์ (Logic) ศึกษาเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ในการใช้เหตุผลที่สมบูรณ์ และปัญหาอื่น ๆ ที่สามารถสรุปได้ด้วยเหตุผล
  15. ๔. จริยศาสตร์ (Ethics) ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับปัญหาในทางศีลธรรม หามาตรฐานในการตัดสินความถูกและผิดซึ่งเกี่ยวกับความประพฤติของมนุษย์ และจุดมุ่งหมายอันประเสริฐสุดของชีวิต และศึกษาปัญหาสำคัญอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบศีลธรรม เช่น ระบบศีลธรรมเป็นอย่างไร ใครเป็นผู้กำหนดระบบศีลธรรมขึ้นมาใช้กับมนุษย์ มนุษย์หรือพระเจ้าเป็นผู้กำหนดระบบศีลธรรม ถ้ามนุษย์เป็นผู้กำหนดขึ้นมา แล้วจะเชื่อได้อย่างไรว่าระบบศีลธรรมที่มนุษย์สร้างขึ้นมานั้นจะถูกต้องเสมอไป เพราะมนุษย์ยังไม่สมบูรณ์ ถ้าพระเจ้าเป็นผู้กำหนด แล้วจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าพระเจ้ามีอยู่จริง
  16. ๕. สุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) ศาสตร์อันว่าด้วยปัญหาเกี่ยวกับความงามและการตัดสินคุณค่าของความงาม ความงามเกิดจากจิตหรือเกิดจากวัตถุ นอกจากนั้น เราเรียกว่าทฤษฎีที่ว่าด้วยคุณค่าว่า "คุณวิทยา" หรือ "อรรฆศาสตร์" (Axiology) ซึ่งเป็นศาสตร์ที่แยกไปกล่าวถึงปัญหาเกี่ยวกับคุณค่า(values) และการตัดสินคุณค่า