- ความหมาย
- ประโยชน์ของ "ปรัชญา"
- ลักษณะสำคัญของ "ปรัชญา"
- หน้าที่ของ "ปรัชญา"
- 1. "ปรัชญา" มาจากภาษากรีกว่า "Philosophy" ตามรากศัพท์คำว่า "Philosophy" มาจากคำว่า "Philosophia" (เป็นคำภาษากรีกโบราณ) ซึ่งมาจากคำ "Philia" (แปลว่า "ผู้รัก") และ "Sopia" (แปลว่า"ความปราดเปรื่อง")
ดัง นั้น คำว่า "Philosophia" (Philosophy) จึงแปลว่า "ความรักในปรีชาญาณ"
สรุปแล้วคำว่า "Philosophy" ตามความหมายของภาษา คือ ความรักความปราดเปรื่อง ความปรารถนาจะเป็นปราชญ์ นั่นคือ การรู้ว่าตัวเองไม่ฉลาด แต่อยากฉลาด
- 2. ความหมายของคำ "ปรัชญา" (ภาษาไทย) คำ ว่า "ปรัชญา" มีที่มาจาก
พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ (พระองค์วรรณ) อดีตราชบัณฑิต สาขาวิชาปรัชญา เป็นผู้แปลศัพท์คำว่า Philosophy เป็นคำว่า "ปรัชญา" โดยใช้รากศัพท์จากภาษาสันสกฤตว่า "ชฺญา" (รู้/เข้าใจ) เติมอุปสรรค ปฺร เป็น ปฺรชฺญา รวมแปลว่า "ความปราดเปรื่องหรือความรอบรู้"
ดังนั้น คำว่า "ปรัชญา" (ภาษาไทย) จึงแปลว่า "ความรอบรู้ปราดเปรื่อง" ซึ่งเป็นความหมายในเชิงอวดตัว (ไม่เหมือนคำ Philosophy ซึ่งแสดงถึงความถ่อมตน) ความหมายของคำ "ปรัชญา" จึงไม่ตรงกับภาษาอังกฤษ/กรีก (Philosophy/Philosopia) มากนัก
- โดยทั่วไปปรัชญาจะมีลักษณะ 3 ประการ คือ
1. มีลักษณะวิพากษ์ คือ มีการถาม โต้เถียง วิจารณ์ ว่าสิ่งนั้นใช่หรือไม่ใช่ ดีหรือไม่ดี
2. ปัญหาปรัชญาเป็นปัญหาพื้นฐาน คือ ปัญหาที่เมื่อหาคำตอบแล้ว จะส่งผลไปสู่การดำเนินชีวิต หรือปัญหาอื่น ๆ ต่อไป
3. แสวงหาโลกทัศน์ คือ การมองโลกที่แตกต่าง แล้วมีจุดยืนเป็นของตนเอง
ดังนั้น เรียนปรัชญาแล้วจะไม่เป็นทุกข์ เมื่อสิ่งใดๆไม่เป็นอย่างที่คิด ก็คิดว่าเพราะมันเป็นอย่างนั้นของมัน แล้วเราจะมีจิตประภัสสร (จิตผ่องใส)
-
1. ทางด้านเนื้อหาของวิชาปรัชญา เนื้อหาของวิชาปรัชญาไม่ว่าจะเป็นการสอนในเชิงประวัติศาสตร์ปรัชญาหรือประเด็นปัญหาทางปรัชญา นอกจากการเรียนการสอนในเชิงประวัติศาสตร์เป็นการเรียนการสอนที่สร้างความรอบรู้ให้กับผู้เรียนแล้ว ยังเป็นการเรียนการสอนที่ทำให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงชีวิตและแนวคิดของนักปรัชญากับสภาวะทางสังคมในแต่ละยุคสมัย หรือใช้เทียบเคียงกับสังคมในยุคปัจจุบันได้ และนำไปสู่ความเข้าใจถึงความเป็นมาของสังคมและสิ่งที่อยู่รอบตัวช่วยเสริมสร้างโลกทัศน์ให้กับผู้เรียน
- 1) ทางด้านเนื้อหาของวิชาปรัชญา เนื้อหาของวิชาปรัชญาไม่ว่าจะเป็นการสอนในเชิงประวัติศาสตร์ปรัชญาหรือประเด็นปัญหาทางปรัชญา นอกจากการเรียนการสอนในเชิงประวัติศาสตร์เป็นการเรียนการสอนที่สร้างความรอบรู้ให้กับผู้เรียนแล้ว ยังเป็นการเรียนการสอนที่ทำให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงชีวิตและแนวคิดของนักปรัชญากับสภาวะทางสังคมในแต่ละยุคสมัย หรือใช้เทียบเคียงกับสังคมในยุคปัจจุบันได้ และนำไปสู่ความเข้าใจถึงความเป็นมาของสังคมและสิ่งที่อยู่รอบตัวช่วยเสริมสร้างโลกทัศน์ให้กับผู้เรียน
- 2.การเรียนวิชาปรัชญาเป็นการเรียนรู้ถึงวิธีการใช้เหตุผลแบบปรัชญาหรือตรรกวิทยาที่กล่าวถึงเรื่องการใช้เหตุผลโดยตรง ถึงแม้อาจจะไม่ได้เป็นการเรียนที่เฉพาะเจาะจงถึงหลักและวิธีการทางตรรกวิทยาอย่างเป็นระบบระเบียบชัดเจน ก็อาจมีความหมายถึงการเรียนรู้วิธีการที่มาพร้อมๆ กับวัฒนธรรมของวิชาปรัชญาและนักปรัชญา เช่น นิสัยของการเป็นนักสงสัยหรือนักตั้งคำถามตัวยง การเป็นผู้ที่รักในการแสวงหาความจริง การเป็นผู้มีใจกว้างยอมรับฟังความคิดเห็นที่มีเหตุผลของผู้อื่น หรือการเป็นผู้ที่มีอิสระทางความคิด การเป็นคนช่างคิดช่างวิเคราะห์ เป็นต้น เนื้อหาและวิธีการเรียนการสอนวิชาปรัชญาจะทำให้ผู้เรียนค่อยๆ ซึมซับลักษณะนิสัยนี้ทีละเล็กละน้อยผ่านการกระตุ้นชักชวนและท้าทายของผู้สอน และหากเป็นการเรียนในกลุ่มที่ไม่ใหญ่มากนักก็สามารถเปิดโอกาสให้ผู้เรียนอภิปรายแสดงความคิดเห็นได้มากยิ่งขึ้นด้วย
- หน้าที่ของ “ปรัชญา”
ความเข้าใจว่า “มนุษย์คืออะไร” “คุณค่าและความหมายชีวิตคืออะไร” เป็นพื้นฐานสำคัญต่อการกำหนด
วิถีชีวิตและการพัฒนาตนของมนุษย์ ปรัชญาในฐานะศาสตร์ที่พยายามใช้เหตุผลเพื่อตอบปัญหาเกี่ยวกับความจริง โดยแยกเป็นสามประเด็นคือ อะไรคือความเป็นจริง (Metaphysics/Ontology) เรารู้ความจริงได้อย่างไร (Epistemology) และอะไรเป็นคุณค่าแท้จริง (Axiology) คำตอบที่ว่า “มนุษย์คืออะไร” ในด้านคุณค่าและความหมายของชีวิต จึงถือเป็นหน้าที่โดยตรงของปรัชญา คำตอบที่ปรัชญาให้ มีหลายแนวความคิด ขึ้นกับว่านักปรัชญาท่านนั้น ๆ จะมองหรือเน้นในส่วนไหน “ถ้าพิจารณาในแง่ประวัติศาสตร์ พบว่าปรัชญามีวิวัฒนาการ ๆ ของปรัชญาเป็นเหตุให้เกิดปรัชญามากมายหลายสาขาหลากแนวคิด” (สมัคร, 2544: 15)
อาทิเช่น เอกนิยม ทวินิยม พหุนิยม สสารนิยม จิตนิยม ประจักษนิยม เหตุผลนิยม จักรกลนิยม ปฏิบัตินิยม อัตถิภาวนิยม บุคคลนิยม ฯลฯ แล้วแต่ว่าจะเน้นนำเสนอความจริงในด้านไหน เป็นการเน้นอธิบายปริมาณความจริง สภาพ/ธรรมชาติของความจริง การรับรู้ความจริง หรือเน้นเรื่องการนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตมนุษย์หรือการอธิบายสิ่งต่าง ๆ เป็นต้น โดยผ่านทางการอธิบายความคิดของนักปรัชญาตามยุคสมัยต่างๆ จวบจนปัจจุบัน
- สาขาของ "ปรัชญา"
- ในสมัยปัจจุบัน ปรัชญาตะวันตกแบ่งออกเป็นสาขาใหญ่ ๆ ๕ สาขาด้วยกัน คือ
๑. อภิปรัชญา(Metaphysics) ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวข้องกับปัญหาทั่วๆ ไปในเรื่องสัจธรรม มนุษย์ โลก และพระเจ้า อภิปรัชญานั้นศึกษา ๓ ด้าน ดังนี้
(๑) อภิปรัชญาว่าด้วยธรรมชาติ เป็นการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสสาร กาล อวกาศ ชีวิต วิวัฒนาการ ระบบจักรกลของเอกภพ และความเป็นเหตุเป็นผล
(๒) อภิปรัชญาว่าด้วยจิตวิญญาณ เป็นการสืบค้นถึงกำเนิด วิญญาณ จุดหมายปลายทาง และความสัมพันธ์ระหว่างกายกับจิตวิญญาณ
(๓) อภิปรัชญาว่าด้วยพระเจ้า ศึกษาถึงธรรมชาติ และคุณลักษณะของพระเจ้า ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับวิญญาณทั้งปวง
นอกจากนั้น อภิปรัชญายังถูกเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ภววิทยา"(Ontology) ทฤษฎีว่าด้วยความมีอยู่ พยายามสืบค้นหาความมีอยู่จริงของสรรพสิ่ง ความมีอยู่จริงของโลก ความมีอยู่จริงของวิญญาณ และความมีอยู่จริงของพระผู้เป็นเจ้าที่สมบูรณ์
- ๒. ญาณวิทยา (Epistemology) หรือศาสตร์ว่าด้วยความรู้ ศึกษาค้นคว้าถึงธรรมชาติแห่งความรู้ของมนุษย์ ความรู้ของมนุษย์เกิดขึ้นมาได้อย่างไร และความรู้นี้จะสามารถเข้าถึงสัจธรรมหรือไม่เพียงไร มนุษย์สามารถรู้โลก จักรวาล และพระเจ้าได้หรือไม่ ถ้ารู้ได้จะแน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นความรู้จริง ความรู้เช่นไรจึงเป็นความรู้จริง สิ่งที่ตามองเห็นเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นความจริง
- ๓. ตรรกศาสตร์ (Logic) ศึกษาเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ในการใช้เหตุผลที่สมบูรณ์ และปัญหาอื่น ๆ ที่สามารถสรุปได้ด้วยเหตุผล
- ๔. จริยศาสตร์ (Ethics) ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับปัญหาในทางศีลธรรม หามาตรฐานในการตัดสินความถูกและผิดซึ่งเกี่ยวกับความประพฤติของมนุษย์ และจุดมุ่งหมายอันประเสริฐสุดของชีวิต และศึกษาปัญหาสำคัญอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบศีลธรรม เช่น ระบบศีลธรรมเป็นอย่างไร ใครเป็นผู้กำหนดระบบศีลธรรมขึ้นมาใช้กับมนุษย์ มนุษย์หรือพระเจ้าเป็นผู้กำหนดระบบศีลธรรม ถ้ามนุษย์เป็นผู้กำหนดขึ้นมา แล้วจะเชื่อได้อย่างไรว่าระบบศีลธรรมที่มนุษย์สร้างขึ้นมานั้นจะถูกต้องเสมอไป เพราะมนุษย์ยังไม่สมบูรณ์ ถ้าพระเจ้าเป็นผู้กำหนด แล้วจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าพระเจ้ามีอยู่จริง
- ๕. สุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) ศาสตร์อันว่าด้วยปัญหาเกี่ยวกับความงามและการตัดสินคุณค่าของความงาม ความงามเกิดจากจิตหรือเกิดจากวัตถุ นอกจากนั้น เราเรียกว่าทฤษฎีที่ว่าด้วยคุณค่าว่า "คุณวิทยา" หรือ "อรรฆศาสตร์" (Axiology) ซึ่งเป็นศาสตร์ที่แยกไปกล่าวถึงปัญหาเกี่ยวกับคุณค่า(values) และการตัดสินคุณค่า