1. Facebook ใช้ ML (Machine Learning) เพื่อจำแนก user เป็นกลุ่มตามคุณลักษณะที่คล้ายกัน เช่น เพศ อายุ ที่อยู่ เป็นต้น เพื่อให้สามารถเป้าหมายการโฆษณาหรือการเผยแพร่เนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. Facebook ใช้ CV (Computer Vision) เพื่อประมวลผลภาพและวิดีโอที่ผู้ใช้งานอัปโหลดหรือถ่าย เช่น การจดจำใบหน้า การจดจำวัตถุ การจดจำการกระทำ เป็นต้น เพื่อให้สามารถเพิ่มคุณภาพ ความปลอดภัย และความสำคัญของเนื้อหาได้อย่างเหมาะสม
  3. Facebook ใช้ NLP (Natural Language Processing) เพื่อประมวลผลข้อความที่ผู้ใช้งานพิมพ์หรือพูด เช่น คำค้นหา คำถาม คำสั่ง เป็นต้น เพื่อให้สามารถเข้าใจความหมายและจุดประสงค์ของผู้ใช้งานได้อย่างถูกต้อง
  4. เกิดเป็นคนชีวิตว่ายากแล้ว เป็น Page ยากกว่า
  5. Facebook ใช้ AI (Artificial Intelligence) เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้งาน เช่น ข้อมูลส่วนตัว ความสนใจ พฤติกรรมการใช้งาน เพื่อสร้างโปรไฟล์ user ที่มีคุณลักษณะและความต้องการที่แตกต่างกัน
  6. อายุ
  7. เจตจำนงค์ของการใช้งาน Facebook (เช่น การคลิกโฆษณา, ความถี่ในการเข้าใช้งาน)
  8. ความสนใจและกิจกรรม
  9. สถานที่ทำงาน
  10. สถานะการศึกษา
  11. สถานะความสัมพันธ์
  12. เพศ
  13. 1.โพสต์และการตอบกลับ: Facebook วิเคราะห์เนื้อหาที่คุณแชร์, ความคิดเห็น, และตอบกลับที่คุณทำในโพสต์ต่างๆ.
  14. 2.การคลิกและการดู: ซึ่งได้แก่การคลิกเชื่อมโยง, รูปภาพ, และวิดีโอ, รวมถึงระยะเวลาที่คุณดูเนื้อหาต่างๆ.
  15. 3.การเชื่อมต่อกับผู้ใช้งานอื่น: เช่นการเพิ่มเพื่อน, การกด “Like”, หรือการแชร์เนื้อหาของผู้อื่น.
  16. 4.ข้อมูลโปรไฟล์: การปรับปรุงแนะนำตามข้อมูลที่คุณกรอกในโปรไฟล์, เช่น งาน, การศึกษา, หรือสถานที่ที่คุณอาศัย.
  17. 5.การตอบสนองต่อโฆษณา: เช่นการคลิก, การซื้อสินค้า, หรือการปฏิเสธโฆษณา.
  18. 6.การใช้งานแอปและเว็บไซต์ที่เชื่อมต่อกับ Facebook: ด้วยเครื่องมือเช่น Facebook Pixel, บริษัทสามารถส่งข้อมูลกลับมายัง Facebook เมื่อคุณทำการซื้อสินค้าหรือทำคำสั่งซื้อ.
  19. 1.การวิเคราะห์ความรู้สึก (Sentiment Analysis): เพื่อระบุว่าข้อความมีการแสดงความรู้สึกอย่างไร, เช่น บวกหรือลบ.
  20. 8.การเสนอแนะเนื้อหา: วิเคราะห์และเข้าใจข้อความเพื่อแนะนำเนื้อหาหรือโพสต์ที่สอดคล้องกับความสนใจของผู้ใช้.
  21. 2.การระบุเจตนา (Intent Detection): เพื่อเข้าใจว่าผู้ใช้ต้องการทำอะไร หรือ มีความต้องการอย่างไรจากข้อความ.
  22. 3.การแยกแยะหัวข้อ (Topic Modeling): แยกแยะและแบ่งปันข้อความตามหัวข้อหรือเนื้อหาที่สนใจ.
  23. 4.การระบุตัวอย่างเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม: ตรวจจับข้อความที่ต่อต้านนโยบายของ Facebook, เช่น ความรุนแรง, ความเกลียดชัง, หรือข้อความที่ผิดกฎหมาย.
  24. 5.การแปลภาษา: ช่วยให้ผู้ใช้แปลข้อความเป็นภาษาอื่นๆ ภายในแพลตฟอร์ม.
  25. 6.การสนับสนุนการค้นหา: ปรับปรุงความแม่นยำในการค้นหาเนื้อหาใน Facebook โดยอาศัยข้อความที่ผู้ใช้ป้อนเข้ามา.
  26. 7.การตอบกลับอัตโนมัติ: เช่น ใน Messenger, ระบบอาจใช้ NLP เพื่อสนับสนุนการตอบกลับอัตโนมัติจากเพจหรือแบรนด์ต่างๆ
  27. 1.การระบุใบหน้า (Face Detection and Recognition): ระบบตรวจจับและระบุใบหน้าบนภาพเพื่อสนับสนุนการแท็กภาพโดยอัตโนมัติ.
  28. 2.การระบุวัตถุ: เพื่อช่วยในการหาและแนะนำเนื้อหา, เช่น การระบุว่าภาพมีสิ่งที่เป็นสัตว์เลี้ยง, อาหาร, หรือที่เที่ยว.
  29. 3.การวิเคราะห์ภาพ: อาจจะรวมถึงการระบุความรู้สึกที่แสดงออกบนใบหน้า, การหาข้อความภายในภาพ, หรือการวิเคราะห์ความสำคัญของวัตถุในภาพ.
  30. 4.การป้องกันเนื้อหาไม่เหมาะสม: ด้วยการระบุภาพที่มีความรุนแรง, ทางเพศ, หรือเนื้อหาอื่น ๆ ที่อาจต่อต้านนโยบายของ Facebook.
  31. 5.การเข้าใจวิดีโอ: ไม่ใช่เพียงภาพเท่านั้น, Facebook ยังวิเคราะห์วิดีโอเพื่อระบุเนื้อหาหลักและวิดีโอที่ผู้ใช้งานอาจสนใจ.
  32. 6.การแปลงข้อความในภาพ: เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นเข้าใจเนื้อหาด้วยเสียง.
  33. 1.เนื้อหา: AI ของ Facebook สามารถวิเคราะห์รูปภาพ, วิดีโอ, และข้อความที่โพสต์บนเพจเพื่อเข้าใจเนื้อหาหลัก
  34. 2.การมีส่วนร่วมของผู้ใช้: จำนวนครั้งที่ได้รับการคลิก, การถูกแชร์, การเช็คอิน, การทิ้งความคิดเห็น, และปฏิกิริยาต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนเพจ
  35. 3.ข้อมูลจากโปรไฟล์: เช่น หมวดหมู่ของเพจ, รายละเอียด, และข้อมูลอื่น ๆ ที่ผู้ใช้ให้ไว้.
  36. 4.เครือข่าย: การเชื่อมต่อกับเพจอื่นๆ หรือกลุ่ม, รวมถึงการแท็กหรือการถูกแท็กในโพสต์.
  37. 5.ข้อมูลเกี่ยวกับการโฆษณา: เช่น กลุ่มเป้าหมาย, งบประมาณ, และประสิทธิภาพของโฆษณาที่เชื่อมโยงกับเพจ.
  38. 6.ความถี่ในการโพสต์: ความบ่อยครั้งที่มีการโพสต์เนื้อหาใหม่บนเพจ.